หลัง Google Street View เปิดให้ใช้งานเมื่อปี 2017 ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนคุ้นเคยในปัจจุบัน ทั้งใช้วางแผนการเดินทางท่องเที่ยว ค้นหาหน้าตาจุดนัดหมาย ไปเดินเล่นแบบ Virtual ในช่วงโควิด-19 หรือแอบส่องบ้านของใครสักคน
แต่ทีมวิจัยจาก Stanford University ร่วมกับ University of Warsaw คิดใช้ประโยชน์จาก Google Street View มากกว่านั้น
สิ่งที่ทีมวิจัยนี้ทำ คือการใช้ภาพ ‘บ้าน’ จาก Google Street View ในการคาดการณ์ว่าแต่ละครัวเรือนมีโอกาสเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางรถยนต์มากน้อยแค่ไหน ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่มีค่ามหาศาลสำหรับบรรดาบริษัทประกันในการตั้งราคาหรือออกแพ็กเกจต่างๆ
ซึ่งการคาดการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องมโนขึ้นมา โดยงานวิจัยใช้ชุดข้อมูลของผู้ที่เคยเคลมประกันจำนวน 20,000 ราย จากบริษัทประกันแห่งหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลที่อยู่ สถิติ ระดับความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการคาดการณ์การเคลมประกันในอนาคตจากโมเดลที่บริษัทประกันวิเคราะห์ไว้
จากนั้น ทีมวิจัยก็เทียบข้อมูลเหล่านั้นกับภาพใน Google Street View แล้วดึงภาพที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างออกมาเพื่อวิเคราะห์ลักษณะต่างๆ เช่น รูปแบบ อายุ หรือสภาพบ้าน
ปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ออกมาชวนให้ทีมประหลาดใจเหมือนกัน เพราะรูปแบบข้อมูลบางอย่างจากภาพที่อยู่อาศัย มีความสัมพันธ์กับสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จากข้อมูลของบริษัทประกัน!
ทีมวิจัยจึงร่วมกับบริษัทประกัน ทดลองเอาข้อมูลนี้เพิ่มลงไปเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการทำนายความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและเคลมประกัน ปรากฏว่าปัจจัยที่เพิ่มเติมนั้น ทำให้โมเดลคาดการณ์ผลลัพธ์ได้แม่นยำเพิ่มขึ้นถึง 2%
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยบอกว่าจะต้องพัฒนาการคาดการณ์นี้ต่อไป ด้วยการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้น และกระบวนการวิเคราะห์ที่ละเอียดมากขึ้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักวิจัยหรือนักเทคโนโลยี ใช้ภาพร่วมกับชุดข้อมูลในการคาดการณ์ผลลัพธ์บางอย่าง ก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่ใช้ภาพลักษณะรถที่ใช้ในแต่ละเขตพื้นที่ของสหรัฐฯ ในการคาดการณ์ระดับรายได้ การศึกษา อาชีพ ไปจนถึงแนวโน้มการลงคะแนนเลือกตั้งด้วย
ประเด็นที่ตามมาจากงานวิจัยเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล อย่างกรณีการใช้ Google Street View นี้ การยินยอมให้ข้อมูลที่อยู่อาศัย ก็อาจเป็นคนละเรื่องกับการยินยอมให้เห็นภาพบ้านและนำไปใช้เพื่อการวิเคราะห์
แถมยังมีเรื่องที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้าของธุรกิจประกัน และอาจขยายต่อไปถึงธุรกิจกลุ่มธนาคาร-สินเชื่อ หรือธุรกิจด้านสุขภาพได้
ในปัจจุบัน เมื่อข้อมูลกลายมาเป็นทรัพยากรสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าของสิ่งต่างๆ ขณะที่ความสามารถในการเก็บ วิเคราะห์ และใช้งานของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเห็นนวัตกรรมทางข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้นได้แทบทุกวัน
แต่ในฐานะผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ต้องพึงระวังว่าข้อมูลส่วนบุคคลของเรานั้น จะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบของการพัฒนานวัตกรรมเหล่านั้นได้เสมอ