นุนชี่ ศิลปะการประเมินสถานการณ์จากเกาหลีใต้

ในสังคมเกาหลีใต้ซึ่งให้ความสำคัญกับบริบทรอบตัวอย่างมาก มีศาสตร์อย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า “นุนชี่” หรือศิลปะในการประเมินสถานการณ์ 

“นุนชี่” คือสิ่งที่ช่วยให้คนเกาหลีใต้เข้าใจความคิดความรู้สึกคนรอบข้าง จนนำความเข้าใจนั้นมาพัฒนาทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้ 

ศาสตร์พิเศษนี้มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ลองมาเรียนรู้ไปด้วยกัน

ความหมายของนุนชี่ (Nunchi)

สำหรับคนเกาหลีใต้แล้ว นุนชี่ อาจหมายถึงความสามารถในการอ่านใจคนอื่น คือศิลปะในการทำความเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาพัฒนาความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน และการแสดงออกอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นผลดีต่อด้านต่างๆ ในชีวิต 

อย่างที่บอกข้างต้นว่า วัฒนธรรมเกาหลีเป็นวัฒนธรรมแบบ High Context หรืออ้างอิงบริบทสูงมาก การสื่อสารจึงไม่ได้แสดงออกผ่านแค่คำพูด แต่สื่อผ่านบริบทต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาษากาย การแสดงออกทางสีหน้า ธรรมเนียม หรือแม้แต่ความเงียบ 

สิ่งที่ไม่พูดออกไปนั้นสำคัญพอๆกับสิ่งที่พูดออกมา และคนที่ตั้งใจฟังเพียงคำพูดจะได้รับข้อมูลเพียงครึ่งเดียว ในขณะที่การรับข้อมูลจากบริบทอื่นด้วยจะทำให้เข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง 

แบบทดสอบประเมินสถานการณ์โดยใช้นุนชี่

หากคุณไปคาเฟ่และพบว่าไม่มีโต๊ะว่างเลย แต่คุณสังเกตเห็นว่ามีบางโต๊ะที่มีแนวโน้มว่าน่าจะมีคนลุกออกไป ทำให้มีโต๊ะว่างสำหรับคุณ คำถามก็คือใครมีแนวโน้มว่าจะลุกจากโต๊ะ 

1.คู่รักที่นั่งตรงข้ามกัน

2..ฮิปสเตอร์ที่กำลังจ้องแล็ปท็อป พร้อมแก้วกาแฟสามแก้วที่ว่างเปล่า

3.พนักงานที่ใส่ชุดทำงานเต็มยศดูน่าอึดอัดสองคน

4.คุณแม่ลูกสามพร้อมรถเข็นเด็กเรียงอยู่ข้างกัน

หากคุณคิดว่าคำตอบคือ ข้อ 3. หมายความว่าคุณใช้นุนชี่ได้อย่างถูกต้องแล้ว เพราะเป็นไปได้ว่าพนักงานใส่ชุดเต็มยศจะกำลังอยู่ในช่วงพักกลางวัน และทั้งสองก็ดูอึดอัด ไม่น่าจะสนิทสนมกันขนาดนั้น จึงรอไม่ไหวที่จะรีบไปจากที่นี่ ส่วนข้อ 1. ก็มีความเป็นไปได้ยาก เพราะคู่รักไม่ได้มีท่าทีว่าจะรีบไปทำอย่างอื่นและอาจมีโอกาสสั่งเครื่องดื่มอื่นๆได้ต่อ ในขณะที่ข้อ 2. ฮิปสเตอร์ที่มาพร้อมแล็ปท็อปก็มีแนวโน้มว่าจะนั่งอีกนาน เพราะเขาอาจจะตั้งใจมานั่งทำงาน และข้อ 4. คุณแม่ที่มีเด็กเล็กน่าจะใช้เวลามากทีเดียวในการเข็นลูกเล็กเพื่อออกจากร้านทีละคน

กฎนุนชี่ 8 ข้อ

นุนชี่มักมีองค์ประกอบร่วม 8 ข้อ และคนที่มีนุนชี่ที่ดีก็มักจะมีลักษณะนิสัยดังต่อไปนี้ คือ 

1.เรียนรู้การปล่อยใจให้ว่าง

เมื่อใจของเราเต็มไปด้วยสมมุตฐานที่มีต่อคนอื่นและความเชื่อว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา ทำให้บางครั้งมองสถานการณ์ตรงหน้าผิดเพี้ยนไปจนปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม วิธีที่ดีคือเรียนรู้การปล่อยใจให้ว่างและพยายามอย่าไปคิดแทนว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร เพราะเราอาจตีความผิดไป และคิดไปว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นถูกต้องและทุกคนชอบ แม้จริงๆแล้วพวกเขาอาจจะไม่ชอบแต่ต้องขอบคุณตามมารยาท เช่น พนักงานใหม่ที่ซื้อกาแฟมาเลี้ยงทุกคนทั้งออฟฟิศในวันที่มาทำงานวันแรก ด้วยความเข้าใจว่าอยากทำให้ทุกคนชอบ แต่อาจทำให้คนที่อยู่มานานมองว่าเป็นการพยายามซื้อใจมากกว่าขยันทำงาน

2.อย่าตกหลุมพรางของอคติ

บางครั้งสมองของเราก็ชอบคิดไปว่าทุกคนกำลังให้ความสนใจเราตลอดทุกฝีก้าว แม้ว่าความจริงแล้วไม่ได้มีใครให้ความสนใจขนาดนั้น มันเป็นอคติที่เกิดขึ้นจากการชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ซึ่งคนที่มีนุนชี่จะระมัดระวังไม่คิดอะไรโดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เช่น หากมีคนมางานเลี้ยงสาย แล้วเข้ามาพร้อมคำขอโทษและเล่าสถานการณ์ยากลำบากที่ทำให้เขามาสายโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า คนทั้งงานกำลังเศร้าโศกจากเรื่องที่เพื่อนคนหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายอยู่  

3.ให้เกียรติห้อง ก่อนให้เกียรติคน

การมีนุนชี่ที่ดี หมายถึงการสามารถประเมินสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในห้องได้ด้วยสายตาที่ว่องไว คอยสังเกตและรู้จักปรับเปลี่ยนการประเมินอยู่เรื่อยๆตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือการให้เกียรติห้องๆนั้น ก่อนที่จะให้เกียรติคนในห้องหรือคอยคิดว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรกับเราตลอดเวลา เช่น แทนที่จะพยายามทำตัวให้โดดเด่นหรือพยายามสร้างสีสันในห้องนั้น เราแค่เข้าไปอยู่ในห้องนั้นเฉยๆ ประเมินสถานการณ์ และทำจิตใจให้ว่าง ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเรามาถึงแล้ว เพราะตามหลักนุนชี่ เพียงแค่เราเข้าไปในห้องก็ทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปได้

4.พลังของความเงียบ ทำให้ได้คำตอบโดยไม่ต้องถาม

คนที่พูดเสียงดังที่สุดในการต่อรองไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป เพราะคนที่เงียบแต่หนักแน่นต่างหากที่ทำให้คนเสียงดังเปิดเผยข้อมูลสำคัญและพ่ายแพ้ให้กับการต่อรอง บางครั้งคนที่เงียบไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้หรือไม่มีความคิดเห็น แต่เพราะกำลังเก็บข้อมูลและพูดในสิ่งที่จำเป็น ทำให้ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาแทบจะไม่ต้องถามอะไรแต่มักได้คำตอบที่ต้องการเสมอ เพราะคนที่พูดมากที่สุดได้มอบข้อมูลมาให้ทุกอย่างแล้วนั่นเอง

5.ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ต้องมีมารยาท

มารยาทดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เช่นเดียวกับกฎกติกาในเกมกีฬา มารยาทที่ดีจะช่วยให้ห้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย บางครั้งอาจต้องใช้ความอดทนมากในการรอให้ทุกคนนั่งลงให้เรียบร้อย ต้องคอยระวังไม่ให้ข้าวในจานหกเลอะเทอะ แต่การทำสิ่งเหล่านี้เป็นการเตือนให้เรานึกถึงความสบายใจของผู้อื่น และช่วยนำบรรยากาศที่สงบมาให้ นอกจากนี้มารยาทยังเป็นตัวกำหนดกติกาให้กับคนอื่นๆ เป็นเหมือนการเชื้อเชิญให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้บนพื้นฐานมารยาทเดียวกัน

6.สังเกตบริบทและอ่านความหมายที่ซ่อนอยู่

หากอยากรู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร ให้หรี่เสียงลง หมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องถามย้ำหลายๆครั้งเพื่อที่จะเข้าใจคนอื่น เพราะเราสามารถเข้าใจคนอื่นได้ด้วยการสังเกตบริบทและอวัจนภาษาของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น หากมีใครบางคนถามคุณว่า “ที่นี่กินหมูกันทุกคนเลยหรือเปล่า ?” ไม่ได้หมายความให้คุณตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยหากคุณไม่รู้ว่าคนถามเป็นมุสลิม ก็ควรจะสังเกตว่าเขาอาจมีประเด็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหมูก็เป็นได้

7.พยายามอย่าเผลอสร้างความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ

การทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้ใครรู้สึกแย่พอๆ กับเจตนา แม้จะเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุและไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่นั่นก็ไม่อาจลบล้างความรู้สึกแย่ที่เกิดขึ้นได้ วิธีที่ดีหลังจากที่เราได้ทำอะไรพลาดไปเพราะขาดนุนชี่หรือไม่ได้สังเกตอะไรให้รอบคอบพอจึงไม่ใช่การพยายามขอโทษตามไปอีกหลายครั้ง แต่คอยระมัดระวังและสังเกตบริบทรอบข้างให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำซ้อน

8.ทำตัวให้ปราดเปรียวและว่องไว

ในวัฒนธรรมเกาหลี หากต้องการชมใครสักคนที่เก่งเรื่องนุนชี่ มักจะไม่ชมว่ามีนุนชี่ที่ “ดี” แต่จะบอกว่าเขามีนุนชี่ที่ “ว่องไว” และคนที่เก่งนุนชี่ก็ไม่ใช่คนที่นิสัยดีหรือจิตใจดีเสมอไป แต่เป็นคนที่เก่งในการอ่านคน อ่านสถานการณ์และประเมินมันได้อย่างถูกต้อง ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติของความปราดเปรียวและว่องไว

ตัวอย่างบุคคลที่มีนุนชี่ในการทำธุรกิจ

เพราะนุนชี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องมารยาทหรือการมีจริยธรรมสูง และไม่ได้แปลว่าพวกเขามีคะแนนนิยมมากกว่าคนอื่น แต่เป็นการรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คนต้องการและจะทำให้บรรยากาศโดยรวมดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งมีตัวอย่างของบุคคลระดับโลกที่ใช้นุนชี่ในการทำธุรกิจจนสำเร็จ เช่น 

สตีฟ จ็อบส์ที่ใช้สายตาประเมินความต้องการลูกค้าได้อย่างฉลาด

เป็นที่รู้กันว่าสตีฟ จ็อบส์นั้นมีอารมณ์ที่แปรปรวนและมักจะแสดงออกตรงๆในเรื่องที่ไม่ชอบอย่างเปิดเผย แต่เขาก็เป็นคนที่มีนุนชี่สูงมาก และมีความสามารถในการเข้าใจผู้คนมากกว่าที่ผู้คนเข้าใจตัวพวกเขาเอง สังเกตได้จากในช่วงแรกที่เขาเริ่มทำการตลาดกับไอพอด แอปเปิลได้ใช้เงินมากกว่าร้อยเท่าเพื่อลงทุนกับการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (User-oriented Design) นอกจากนี้ สตีฟ จ็อบส์ยังมีกฎที่ไม่สามารถยืดหยุ่นได้สำหรับผู้ออกแบบพัฒนาไอพอด ว่าผู้ใช้งานจะต้องกดคลิกไม่เกินสามครั้ง หรือน้อยกว่านั้นหากต้องการหาเพลงในไอพอด สตีฟ จ็อบส์รู้ได้ทันทีว่าอะไรที่ทำให้ผู้ใช้งานรำคาญโดยไม่จำเป็นต้องมีใครบอก สิ่งนี้ก็คือนุนชี่อย่างแท้จริง 

บิล เกตส์ ที่มองเห็นอนาคตแม้ไม่มีใครเห็นด้วย

ในปี 2001 บิล เกตส์ผลักดันตลาดวีดีโอเกมด้วยการปล่อยสินค้าอย่าง Xbox โดย บิล เกตส์ทำนายว่าตลาดวีดีโอเกมจะกลายมาเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าธุรกิจภาพยนตร์ จนกระทั่งภายในปี 2004 คำทำนายของบิล เกตส์ก็เป็นจริง ซึ่งก็คือความนิยมของเกม Halo และ Call of Duty ทำให้วีดีโอเกมเข้ามายึดส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่กว่าภาพยนตร์ได้อย่างรวดเร็ว รายได้ต่อปีของวีดีโอเกมแซงหน้ารายได้ธุรกิจภาพยนตร์และเพลงดิจิทัลรวมกันเสียอีก ซึ่งการมองการณ์ไกลแบบนี้ไม่ใช่เพราะบิล เกตส์เป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยี แต่เป็นความสามารถในการประเมินสถานการณ์ของคนส่วนใหญ่และรู้ว่าทิศทางลมกำลังจะพัดไปทางไหน ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยการประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง 

เจฟฟ์ เบโซส ที่เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์แม้ทุกคนมองว่าบ้า

ตอนเริ่มแรกที่เจฟฟ์ เบโซสเริ่มทำธุรกิจแอมะซอน ซึ่งขาดทุนมากว่า 14 ปี เจฟฟ์ เบโซสยืนกรานว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่กำไร แต่เป็นการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) แล้วกำไรจะตามมาทีหลัง ในเวลานั้นหลายคนมองว่าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่ทำธุรกิจแต่ไม่คิดถึงผลกำไร แต่เจฟฟ์ เบโซสเข้าใจความคิดของลูกค้าในวิถีแบบนุนชี่ ทำให้สุดท้ายแอมะซอนเป็นบริษัทแรกของโลกที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางได้ประสบความสำเร็จและตามมาด้วยผลกำไรมหาศาล จนทำให้บริษัทอื่นๆเริ่มทำตาม จนตอนนี้แทบจะไม่มีลูกค้าคนไหนปฏิเสธแอมะซอน แม้เขาจะเริ่มสร้างตลาดที่ทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวกหากพวกเขายังไม่สมัครสมาชิกแอมะซอนไพรม์ก็ตาม 

สรุป

ต้องบอกว่าคนเกาหลีใต้ไม่ใช่คนที่ขี้ระแวงที่สุดในโลก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ด่วนสรุปว่าทุกคนทำทุกอย่างด้วยเจตนาดี พวกเขาสงวนการตัดสินอย่างมีวิจารณญาณ และใช้เวลารอดูก่อนที่จะตัดสินว่าคนคนนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน น่าคบหาด้วยหรือไม่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีนุนชี่ เพราะมันอาจเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการเข้าใจแก่นของความเป็นมนุษย์ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความสุข และยังสามารถทำให้เราเป็นผู้ปกครอง หัวหน้า พี่ น้อง และเพื่อนที่ดีขึ้นได้ 

อ้างอิง: 

SHARE

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้เพื่อการโฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save