ในสมัยโบราณ การเขียนถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังจนถึงขั้นเปลี่ยนโลก และนำพาวิทยาการกับความก้าวหน้ามาสู่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกการเดินทางจนพบโลกใหม่ คำสอนที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดความหวังกำลังใจ ปรัชญาอันลุ่มลึก เรื่องเล่าที่น่าสะพรึงกลัว สิ่งประดิษฐ์ชวนโลกตะลึง บันทึกประวัติศาสตร์ที่ชวนให้บรรดาผู้รู้วิพากษ์วิจารณ์ ไปจนถึงสุนทรพจน์ชั้นยอดที่ปลุกใจคนทั้งชาติให้ลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมก็เกิดขึ้นจากการเขียน
ในโลกปัจจุบันการเขียนก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังเช่นกัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากการเขียนด้วยกระดาษ ปากกา ดินสอเท่าที่หาได้ มาเป็นสรรพอุปกรณ์ไฮเทคที่ต้องมีติดตัวคนละเครื่อง เพียงแค่มีความคิดอะไรแล่นเข้ามาในหัว รู้สึกโกรธใคร พอใจกับสิ่งไหน ก็แค่หยิบมือถือหรือไอแพดขึ้นมา แล้วป่าวประกาศสิ่งที่ตนคิดหรือรู้สึกให้โลกรู้ได้ทันที โดยมีบรรดาแอพลิเคชันพร้อมเป็นตัวกลาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter
ถ้าใครถ่ายภาพเก่งหน่อย ก็อาจอวดรูปสวยๆ ลง Instagram พร้อมใส่คำบรรยายภาพชวนหัวเราะหรือขอยืมคำกล่าวของคนดังที่แสนคมจนตัดกระดาษขาดได้มาประกอบ ถ้าใครมีไอเดียเจ๋งๆ ก็อาจจดไว้ในแอพลิเคชันประเภทโน้ตจดบันทึกไว้ก่อน ไม่ต้องเสียแรงหรือพื้นที่ในกระเป๋าพกสมุดจดให้วุ่นวาย
คงเป็นเรื่องที่ดีหากทุกสิ่งที่เราบอกให้โลกหรือคนใกล้ตัวรู้เป็นสิ่งที่ให้แรงบันดาลใจหรือกระตุ้นให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเองหรือสังคม แต่หลายครั้งแค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและหลายรายต้องจบสิ้นมิตรภาพที่เคยมีให้กันมาแล้ว
แต่นั่นเป็นเรื่องของการระบายความรู้สึก
สำหรับหลายคน การเขียนอาจเป็นเรื่องยาก เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วของโซเชียลมีเดียมีส่วนทำให้คนถนัดการคุยหรือการพิมพ์แบบไม่เป็นทางการมากกว่า เช่น การส่งสติกเกอร์ คำย่อหรืออีโมจิ บางคนพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ ใช้คำลงท้ายผิดก็มี พอต้องมาเขียนในเชิงทางการหรือธุรกิจ ก็ไม่รู้จะเขียนขึ้นต้นหรือลงท้ายอย่างไร
โดยเฉพาะกับการทำงานและการเรียนต่อในระดับสูง การตั้งสมาธิเพื่อเขียนบรรยายความคิดหรือไอเดียเพื่อสร้างโปรเจ็กต์ขึ้นมาสักอย่างหนึ่งกลายเป็นของแสลงไปเลย กว่าจะตั้งโจทย์ ค้นคว้า ตั้งสมมติฐาน ไปจนถึงพิมพ์ออกมาเป็นรายงานหรือข้อเสนอโครงการ ก็แทบหมดพลัง นี่ยังไม่นับว่าที่ปรึกษา เพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายจะเห็นด้วยอีกนะ
เรื่องทำนองนี้จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ถ้าเราลองพิจารณาแนวทางของ Jeff Bezos ผู้เป็นเจ้าของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและของโลกในเรื่องการเขียนเมื่อทำงานในออฟฟิศ โดยเขาบอกว่าสิ่งนี้ คือ “กฎแห่งการเขียน” หรือ Rule of Writing
Bezos บอกว่าก่อนที่จะเข้าประชุมเพื่อนำเสนอความคิดหรือโครงการอะไร ให้ลองเขียนออกมาเป็นเรื่องเป็นราวสัก 6 หน้าเสียก่อน และควรใช้เวลาในการเขียนสัก 1 สัปดาห์
แล้วต้องใช้เวลามากถึง 1 สัปดาห์เพื่อเขียนเรื่องที่จะพูดคุยเรื่องโครงการในที่ประชุมเหรอ ?
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ กฎแห่งการเขียนของ Bezos นั้นง่ายมาก นั่นคือ หากคุณต้องการทำให้ความคิดของคุณชัดเจน จำสิ่งที่สำคัญหรือสื่อสารให้ดีขึ้น จงเขียนลงไป
นั่นหมายความว่า การเขียนของ Bezos ไม่ใช่เพียงแค่เขียนหรือจดส่งๆ ลงไป แต่เป็นการค่อยๆ คิดจนกว่าจะตกผลึกก่อนจะร่ายลงไปเป็นตัวอักษรนั่นเอง
การคิดนี่แหละครับเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในกฎการเขียนของ Bezos เพราะเมื่อถึงเวลาประชุม เขาและทีมงานจะใช้เวลาเงียบๆ ในห้องประชุม 20 นาทีเพื่อดูบันทึกที่ต่างคนต่างจดมา จากนั้นจะดูว่าต้องแก้ไข เพิ่มเติมสิ่งใดหรือไม่ เพราะ Bezos เชื่อว่าบันทึกที่ดีมันต้องมีการเขียน แก้ไขและเขียนใหม่ด้วยไอเดียที่สดใหม่อยู่เสมอ
บางคนอาจเจอปัญหาในที่ประชุม เช่น เมื่อถามคำถามหรือขอความเห็นจากเพื่อนร่วมงาน กลายเป็นว่าไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรหรืออธิบายไม่ได้ว่าจะหมายถึงสิ่งใด แต่การค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่จดมาก่อนเริ่มการประชุม อาจทำให้พนักงานรู้ว่าคำถามไหนไม่จำเป็นต้องถาม สิ่งใดที่ควรพูดถึงมากที่สุดและบางคำถามพนักงานอาจหาคำตอบได้เองโดยไม่ต้องขอความเห็น
นอกจากนี้ การเขียนยังทำให้เกิดความเข้าใจด้วยตนเองได้อีกด้วย เพราะการเขียนอย่างละเอียดหรือน่าสนใจนั้นจำเป็นต้องคิดแล้วค่อยๆ เขียนออกมาอย่างช้าๆ จึงจะได้ใจความทั้งหมด
สุดท้าย Bezos เชื่อว่ากฎแห่งการเขียนจะช่วยทำให้พนักงานสื่อสารกันได้ดีขึ้น จากสิ่งที่พนักงานเขียนหรือจดลงไป บางครั้งอาจนำเสนอออกมาได้ดีกว่าเดิมเมื่อทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงด้วยความคิดที่สดใหม่หลังจากที่อ่านทวนซ้ำแล้ว ซึ่งอาจทำให้พนักงานเข้าใจในสิ่งที่ต้องการสื่อสารมากขึ้น และอาจทำให้พนักงานสามารถรู้ได้ด้วยว่าพวกเขาจะเจอคำถามแบบไหนจากเพื่อนร่วมงาน
พอมาถึงจุดนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า ตนไม่ได้ทำงานในตำแหน่งที่มีความสำคัญอะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องนำเสนอโครงการ ไม่ต้องเข้าประชุมระดับใหญ่ หรือแม้กระทั่งไม่ได้ทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณาบนโลกโซเชียลมีเดียเสียด้วยซ้ำ แถมบางบริษัทอาจเร่งให้พนักงานทำงานจนไม่มีเวลามานั่งไตร่ตรองได้แบบ Bezos หรอก จะเอาสกิลการเขียนเหล่านี้ไปทำไมกัน
แม้ Bezos อาจไม่ได้พูดถึงการนำกฎแห่งการเขียนไปใช้ในชีวิตประจำวันมากมายนัก แต่หากพิจารณาสิ่งที่ Bezos กล่าวถึงให้ละเอียด จุดประสงค์ของเขาก็คงอยู่ที่เราต้องคุมจังหวะการทำงานของตัวเองให้ช้าลงเพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนั่งลงในความเงียบ 20 นาทีก่อนเริ่มประชุมจริงหรือแม้กระทั่งอ่านสิ่งที่ตนจดลงไปแล้วแก้ไขอีกรอบเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด โดยมีการเขียนนี่แหละเป็นแกนกลาง
หากเราประยุกต์หลักการดังกล่าวมาใช้ ก็จะพบว่ากฎแห่งการเขียน ไม่ได้มีความจำเป็นต่องานประจำแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาจมีความหมายต่ออนาคตของเราได้เลย
ลองนึกดูว่า ในโลกที่ถูกฉาบไปด้วยความรวดเร็ว ความฉาบฉวยและเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้างในโซเชียลมีเดีย ทำให้มนุษย์ยุคปัจจุบันกลายเป็นคนที่พร้อมตัดสินทุกอย่างด้วยเสี้ยวของความจริง และต้องการได้รับการตอบสนองโดยฉับไวแบบไม่ต้องรอ (Instant Gratification) พร้อมที่จะระบายทุกอารมณ์ให้เป็นสเตตัสเรียกไลก์ประจำวัน บางคนถึงขั้นพอให้มาเขียนด้วยปากกาหรือดินสอลงสมุด หรือแม้แต่ค่อยๆ จดลงโปรแกรมโน้ตในมือถือ มือขยับไม่ทันสมองก็มี กฎแห่งการเขียนของ Bezos มีส่วนช่วยให้เราค่อยๆ พิจารณาความคิดของเราเอง ไม่ด่วนตัดสินว่าผิดหรือถูก ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้ในทันที ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก แล้วแก้ไขหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น
และแน่นอนว่า พอเรากลับมาดูทีหลัง บางคำพูดอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการป่าวประกาศหรือตั้งให้เป็นประเด็นเสมอไป
นอกจากนี้ การค่อยๆ คิด ค่อยๆ เขียน อาจทำให้เราเห็นประเด็นที่อยากจะสื่อจริงๆ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อการเขียนที่เป็นทางการ เช่น จดหมายสมัครงาน การขอทุนเรียนต่อหรือแม้กระทั่งเป็นนักเขียนรับงานอิสระที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเรา
Austin Kleon ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Steal Like an Artist หรือ ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน เผยหนึ่งในวิธีที่เขาสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา คือ เขาจะแยกห้องทำงานออกเป็นส่วนดิจิทัลและแอนะล็อก กล่าวคือ เขาจะร่างผลงานคร่าวๆ ด้วยกระดาษ ปากกา ดินสอและอุปกรณ์ที่มีอยู่รอบตัวขึ้นมาก่อน (แอนะล็อก) เมื่อเสร็จแล้ว เขาจึงจะทำให้มันเป็นจริงด้วยคอมพิวเตอร์ (ดิจิทัล) เขาเชื่อว่าการทำแบบนี้จึงจะได้ผลงานที่ดี เพราะคนเราไม่ควรอยู่แต่เพียงหน้าจอคอมพิวเตอร์แต่เพียงอย่างเดียว และคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสำหรับการสร้างสรรค์งานที่ดี โดยนัยหนึ่ง Kleon ต้องการบอกว่าให้เราใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการคิดและวางแผน ก่อนที่จะรังสรรค์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างนั่นเอง ซึ่งคล้ายกับกฎแห่งการเขียนของ Bezos ตรงที่เมื่อให้เวลากับการจดบันทึก มันจะช่วยให้เราเข้าใจความคิดของสิ่งที่จะทำมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
การเขียนไม่ควรเป็นเรื่องยาก เรื่องด่วนหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาการหนักๆ เท่านั้น
แต่มันควรเป็นเรื่องที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นและสนุกกับชีวิตได้มากขึ้นด้วยครับ
อ้างอิง :
- หนังสือ ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน : Steal Like an Artist – Austin Kleon
- https://www.brainforestcenters.com/news/social-media-and-mental-health
- https://content.wisestep.com/importance-good-writing-skills-workplace/