คำว่า Decentralized หรือการกระจายอำนาจ ไร้ศูนย์กลาง และไร้พรมแดน ถือเป็นแนวคิดใหม่ที่สำคัญของสังคมยุคนี้ เพราะการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Blockchain Bitcoin Defi Gamefi ไปจนถึง Metaverse นั้นทำให้ผู้ใช้งานเป็นได้ทั้ง “ผู้สร้างคุณค่า” และ “ผู้รับคุณค่า” โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลางหรือผู้อำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป
และสิ่งนี้เองที่เป็นแก่นของ “WEB 3.0”
แนวคิดของอินเตอร์เน็ตยุคอนาคตนี้คืออะไร? และการเกิดขึ้นของมันน่าจะส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ?
ลองมาสำรวจและเรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลย
กว่าจะมาเป็น WEB 3.0
กว่าจะมาเป็น WEB 3.0 เราผ่านวิวัฒนาการมาเกือบหลายสิบปี ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Internet ครั้งแรก ไปจนถึงการสามารถสื่อสารกับผู้ใช้งานคนอื่นๆได้ เช่น Hi5, Facebook (1.0) , MSN มาจนถึงยุคที่เราเป็นเจ้าของข้อมูลได้ด้วยตัวเองแล้ว เริ่มตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม นั่นก็คือ
WEB1.0 : จุดเริ่มต้นในการกระจายความรู้ (Volume of Information)
ยุคแรกเริ่มของการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือที่เราเรียกว่า Web 1.0 เป็นการมาถึงของ World Wide Web ยุคนี้เกิดขึ้นมาในช่วงปี 1900 – 2000 เป็นยุคที่ผู้ใช้งานทุกคนสามารถสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวได้ อัพโหลด ดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆผ่าน Internet ได้ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานของ Internet อย่าง HTTP, HTML และ URL แต่ผู้ใช้งานจะไม่สามารถตอบโต้สื่อสารกับผู้สร้างเว็บได้อย่างอิสระ และคนที่สามารถแก้ไขหน้าตาเว็บไซต์ได้ก็จะมีแค่เจ้าของเว็บไซต์เท่านั้น (Webmaster) ยุค WEB 1.0 จึงมีรูปแบบเป็นยุคอินเทอร์เน็ตสื่อสารทางเดียว (One Way Communication) จึงทำหน้าที่เป็นการให้ข้อมูลเท่านั้น (Static Content) เช่น เว็บไซต์ประกาศข่าว เว็บไซต์ประวัติส่วนตัว เว็บไซต์ประกาศรับสมัครงาน เว็บไซต์พยากรณ์อากาศ เป็นต้น
WEB 2.0 : ยุคที่ทุกคนมีเสียงเป็นของตัวเอง (Social Media)
เมื่ออินเทอร์เน็ตเริ่มพัฒนาขึ้นมากจาก WEB 1.0 ผู้สร้างเว็บ จึงพัฒนาคอนเทนต์ให้มากขึ้นและแก้ปัญหาการสื่อสารทางเดียวของ WEB 1.0 เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกับเจ้าของเว็บฯและผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้อย่างอิสระ เป็น Two Way Communication ทำให้คอนเทนต์ส่วนใหญ่นั้นเริ่มมาจากผู้ใช้งาน (User-Generated Content) และทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Social Media ตามมา จนเราเรียกยุคสมัยนี้ว่า Social Web ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่ใช่คนที่บริโภคข้อมูลอย่างเดียวอีกแล้ว แต่สามารถเขียน อัพโหลดข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อความ ภาพ เสียง และวีดีโอได้ บอกได้ว่าในยุค WEB 2.0 นี้เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว และเป็นยุคที่มีแพลตฟอร์มที่เราขาดไม่ได้อย่าง Youtube, Twitter, Meta, Instagram
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี มองให้เป็นดาบ 2 คมก็ได้เช่นกัน เพราะในขณะที่การเติบโตของ Social Media มากขึ้น ข้อมูลก็มีมากขึ้นทำให้แพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถขายข้อมูลของผู้ใช้งานเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทและองค์กรใหญ่ๆได้เช่นกัน นำไปสู่ประเด็นเรื่องข้อมูลส่วนตัว , PDPA , Cyber Security อื่นๆตามมา จึงนำไปสู่ยุคต่อมาคือ WEB 3.0 ที่ต้องการพัฒนาและแก้ปัญหาเหล่านี้
WEB 3.0 : อนาคตไร้พรมแดน ทุกคนเป็นทั้งผู้สร้างและผู้รับคุณค่าด้วยตัวเอง
จากการพัฒนาอย่างสุดขีดของ WEB 2.0 ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้งานให้มาใช้แพลตฟอร์มต่างๆอย่างมหาศาล ผู้ประกอบการหลายรายพากันทำธุรกิจผ่าน Social Media มากขึ้น ทั้งการโฆษณาและการขายสินค้าก็ทำผ่าน Social Media ทำให้ทุกกิจกรรมถูกสอดส่องและควบคุมโดยตัวกลาง ซึ่งก็คือ ผู้ควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ ทำให้ “อำนาจ” มีลักษณะรวมศูนย์มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเซนเซอร์ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เก็บข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต หรือการขึ้นค่าโฆษณาเมื่อผู้ใช้งานต้องการให้ถูกพบเห็นมากขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกฎที่ผู้ใช้งานจะต้องทำตาม เพื่อให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์มนั้นได้ต่อไป
WEB 3.0 เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้มีการ “กระจายอำนาจ” และ “ไร้ศูนย์กลาง” มากขึ้น โดย Dr. Gavin Wood ผู้ก่อตั้ง Web 3.0 Foundation และอดีต CTO ของ Ethereum ได้กล่าวไว้ว่าอินเทอร์เน็ตในยุค Web 3.0 จะพัฒนาเข้าสู่การเก็บข้อมูลแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) เหมือนกับการใช้เทคโนโลยี Blockchain โดยต่างจาก Web 2.0 ที่เป็นแบบรวมศูนย์ (Centralized) ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้งานทุกคนสามารถควบคุมข้อมูลบนโลกดิจิทัล และทำให้เรากำหนดทิศทางของตนเองบนโลกออนไลน์ได้อย่างแท้จริง
ลักษณะของ WEB 3.0 ที่น่าจะเกิดขึ้น
เนื่องจากการมาถึงของ WEB 3.0 นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต Tim Berners-Lee วิศวกรชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มคิดค้นวิธีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตครั้งแรก และเป็นคนที่ทำให้เกิดยุค WEB 1.0 ขึ้น ได้สรุปลักษณะของ WEB 3.0 ที่เขาคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ซึ่งมีบางส่วนที่เริ่มเป็นจริงแล้วในตอนนี้
- ไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) มีการกระจายอำนาจผู้ใช้งาน โดยไม่ต้องติดต่อสื่อสารผ่านตัวกลาง หรือเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ อีกแล้ว (เช่น สามารถติดต่อหากันได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Facebook หรือ Google เข้ามาเกี่ยวข้อง)
- มีโค้ดที่สามารถออกแบบร่วมกันได้ (Bottom-up Design) มีการพัฒนาโค้ดที่ให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการเข้ามาพัฒนาโค้ดของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ จนสามารถใช้งานได้ แทนที่จะให้คนกลุ่มเดียวเข้ามาออกแบบโค้ดเท่านั้น อาจมีลักษณะเหมือนเว็บไซต์ออกแบบโค้ดอย่าง Github ที่มีลักษณะเป็น Opensource ที่ผู้ใช้งานคนอื่นสามารถร่วมพัฒนาโค้ด แก้ Bug ต่างๆร่วมกันได้
- มีความโปร่งใสและสอดคล้อง (Consensus) สามารถตรวจสอบความถูกต้องระหว่างผู้ใช้งานได้
WEB 3.0 จะกระทบวงการธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ?
ผลกระทบแรกที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ เรื่องของความโปร่งใส มีลักษณะเป็น User-Centric หรือผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง และต้องเป็นไปอย่างไร้รอยต่อมากที่สุดด้วย (Seamless Experience) เพราะเมื่อทุกอย่างพึ่งพาข้อมูล (Data) อะไรที่ผิดพลาดก็จะมองเห็นและได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ความคาดหวังของผู้บริโภคจะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ธุรกิจโครงสร้างแบบเก่าจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็น Digital Transformation มากขึ้น และไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็จะต้องพึ่งพา Blockchain ซึ่งเราได้เห็นเกิดขึ้นจริงแล้วบางส่วน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นอีก เช่น
- Data Ownership and Control : อำนาจในการควบคุมข้อมูลอยู่ในมือทุกคน
เพราะการเข้ามาของ WEB 3.0 และ Blockchain ทำให้บทบาทของตัวกลางหมดไป อำนาจในการควบคุมข้อมูลจึงกลายเป็นของทุกคน ทำให้ธุรกิจมีความโปร่งใส ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่า มีข้อมูลไหนบ้างที่อยากจะแชร์ให้องค์กรหรือบริษัทโฆษณาเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าได้
- Interoperability : เข้าใช้งานได้หลายแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องกัน
WEB 3.0 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้หลายแอปพร้อมๆกัน ในลักษณะแบบไร้รอยต่อ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใช้งานได้แค่คราวละหนึ่งแพลตฟอร์ม หรือจากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเท่านั้น ส่งผลให้ธุรกิจเปิดกว้างต่อการเข้าถึง ลูกค้าก็สามารถเข้าถึงได้หลายกลุ่มยิ่งขึ้น
- Permissionless Blockchain : ไร้ศูนย์กลาง เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยทุกคน
ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ รายได้ สถานที่ หรือความสนใจ ทุกคนก็สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือการให้บริการผ่านทาง WEB 3.0 หรือ Blockchain ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายหรือเพิ่มค่าใช้จ่าย นี่เป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจเพิ่มช่องทางการขายและทำการตลาดแบบหลายทาง
- Pro-Privacy and High-Security : ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่มากขึ้น
เพราะ Blockchain ทำให้ข้อมูลโปร่งใสและอยู่ในสายตาของทุกคนตลอดเวลา ดังนั้นจึงหมดกังวลเรื่องการแฮ็กข้อมูล เพราะโอกาสเกิดขึ้นที่น้อยมาก นอกจากนี้ยังง่ายต่อการลงทะเบียนของผู้ใช้งานอีกด้วย เพราะทุกแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อบน Blockchain ลูกค้าไม่จำเป็นต้องทำการล็อกอินหลายรอบ และข้อมูลของลูกค้าก็จะปลอดภัยอยู่ใน Blockchain นั่นเอง
ปัจจุบันนี้เราได้เห็นบางส่วนที่เริ่มจะเป็นจริงแล้ว เช่น การเกิดขึ้นของ Ethereum คริปโทเคอร์เรนซีอันดับต้น ๆ ของโลกและกำลังจะเป็น A New Trust Foundation เพราะได้มาสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้ผู้ใช้งาน ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “Smart Contract” เครือข่ายของอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็น ‘ข้อมูลของโลก’ โดยไม่มีใครสามารถปิดกั้นหรือควบคุมได้อีกต่อไป เกิด “ความจำกัดทางดิจิทัล” (Digital Scarcity) เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ที่ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
อ้างอิง :
- https://www.investopedia.com/web-20-web-30-5208698
- https://ethereum.org/en/web3/
- https://treinetic.com/web-3-0-impact-on-businesses/
- https://www.pcmag.com/how-to/what-is-web3-and-how-will-it-work