ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบว่าเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศบางคน “เหนือกว่า” หรือมีอำนาจมากกว่าเรา แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะรับมือกับเรื่องนี้แบบไหนดี
วันนี้ TUXSA มี 4 วิธีทำให้เพื่อนร่วมงานที่มีอำนาจมากกว่าเคารพเรามาแชร์กัน มาเรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลย!
4 วิธีทำให้เพื่อนร่วมงานที่มีอำนาจมากกว่าเคารพเรา
1.เลือกปฏิเสธคำขอบางอย่าง
การจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากกว่าได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและก็แล้วแต่สถานการณ์ เพราะบางทีคุณอาจรู้สึกว่าคุณไร้อิทธิพลเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ยังมีสถานการณ์อื่นๆ ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือหรืออำนาจการตัดสินใจของคุณด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีที่หากคุณยอมตกลงทำตามคำขอมาโดยตลอด คุณอาจสูญเสียอำนาจและกระทบกับความสัมพันธ์ในการทำงานได้ ลองปฏิเสธคำขอผู้มีอิทธิพลคนนั้นด้วยความสุภาพดูก่อน อาจดูเป็นเรื่องท้าทายแต่สิ่งนี้จะทำให้คุณมีอำนาจในการตัดสินใจและมีอิทธิพลต่อคนอื่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน
จากงานวิจัยยังพบอีกด้วยว่า อำนาจที่มากขึ้นไม่ใช่แค่สามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถต้านทานคำสั่งหรืออิทธิพลบางอย่างจากอีกฝ่ายได้ด้วย เพราะฉะนั้น หากคุณรู้สึกว่าถูกขอแกมบังคับให้ทำอะไรบางอย่างมากเกินไป แทนที่จะหยุดและรับปากว่าจะทำทันที ลองปฏิเสธพวกเขาด้วยความสุภาพและมีเหตุผล
โดยใช้วิธีบอกให้พวกเขารับรู้ก่อนว่า คุณได้รับคำขอจากพวกเขาแล้ว คุณยินดีที่จะช่วยเหลือแต่ก็มีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องทำเช่นกัน เพราะฉะนั้นคุณจึงอาจให้คำแนะนำอื่นๆ แก่พวกเขาสำหรับหน้าที่นี้แทนที่จะต้องทำเอง อธิบายว่าคุณช่วยเหลือพวกเขาอย่างเต็มที่และยุติธรรมแล้ว หรือมากกว่านั้นอาจบอกพวกเขาตรงๆ ว่าคุณเคารพและให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคุณกับที่ทำงานมากเพียงใด ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้แค่ทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่ผู้มีอิทธิพลคนอื่นก็จะเริ่มเคารพคุณมากขึ้นด้วยเช่นกัน
2.เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานคนนั้นกับผู้มีอำนาจที่เห็นคุณค่าของเรา
ในบางสถานการณ์ คุณอาจรู้สึกว่ายังไม่มีแต้มต่อหรือไม่มีอิทธิพลมากพอในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ แต่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้มีอิทธิพลได้ผ่านบุคคลอื่นที่มีอิทธิพลเช่นกันและคุณรู้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับคุณและนับถือคุณ วิธีนี้ให้ประโยชน์กับคุณ 3 ข้อคือ หนึ่ง มันทำให้ผู้มีอิทธิพลมองเห็นว่าคุณมีคุณค่ามากพอที่ผู้มีอิทธิพลคนอื่นให้ความสนใจและนับถือคุณ และสอง มันทำให้สมดุลของความสัมพันธ์นี้เปลี่ยนไปในทางที่เท่าเทียมกันมากขึ้น และข้อสุดท้าย มันเป็นการส่งสัญญาณว่าคุณเป็นที่ยอมรับจากผู้มีอิทธิพลคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำตามใจพวกเขาให้ยอมรับในตัวคุณมากขึ้น
ยกตัวอย่าง หากคุณเป็นผู้จัดการที่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารทีมและองค์กร คุณอาจถูกวางตัวมาให้ดำรงตำแหน่งที่ต้องการวิสัยทัศน์และวางแผนกลยุทธ์ แต่หากจริงๆ แล้ว คุณก็มีความคิดสร้างสรรค์และกระตือรือร้นที่จะใช้ทักษะนี้ในธุรกิจให้มากขึ้นเช่นกัน คุณอาจต้องลองมองหาความสัมพันธ์ใหม่ๆ แล้วแสดงศักยภาพที่คุณมีกับผู้มีอิทธิพลที่จะมองเห็นคุณค่าของคุณในทักษะที่คุณมี ด้วยวิธีนี้ ผู้มีอิทธิพลอาจแนะนำคุณกับคนในวงการที่ช่วยต่อยอดความสามารถ โปรไฟล์และแบรนด์ของคุณให้มากขึ้นได้
3.ช่วยให้เขาได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง
แม้จะเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีคนรู้จักมากมายก็สามารถมีจุดอ่อนได้ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป และด้วยความเป็นผู้มีอิทธิพลแล้วก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะได้รับฟีดแบ็กตรงๆ ในเชิงลบที่ทำให้รู้จุดอ่อนของตัวเอง แต่หากคุณสามารถช่วยให้พวกเขาเห็นข้อบกพร่องของตัวเองด้วยวิธีที่ฉลาด เช่นอาจเป็นการแนะนำวิธีที่ทำให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ดีขึ้นจากการพัฒนาจุดอ่อนของพวกเขา ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ก็จะเริ่มมองคุณเป็นพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่แค่คนธรรมดาทั่วไปที่สถานะต่ำกว่าพวกเขาแล้ว
แต่การให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีอิทธิพลได้นั้น คุณต้องลองมองในมุมที่พวกเขาอยู่ ซึ่งแตกต่างจากมุมมองของคนทั่วไปไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่ดีหรือแย่ก็ตาม โดยคุณอาจให้คำแนะนำในเชิงซัพพอร์ทว่า สิ่งที่เป็นอยู่นี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และข้อเสียตรงนี้คุณคิดว่าจะแก้ได้ด้วยวิธีการใดที่อาจส่งผลดีต่อตัวผู้มีอิทธิพลคนนั้นได้ในอนาคต พร้อมกันนั้นคุณยังเข้าใจด้วยว่าทำไมพวกเขาจึงอาจมองไม่เห็นในมุมมองนี้เพราะระยะห่างทางสังคมหรือในการทำงานที่อาจห่างไกลกันเกินไป
เพราะในระดับผู้มีอิทธิพลระดับสูงแล้ว พวกเขาย่อมได้รับการซัพพอร์ทและคำวิจารณ์เชิงบวกมามากมาย คุณก็จะไม่ต่างอะไรจากกลุ่มคนก่อนหน้านั้นหากพูดในสิ่งเดียวกันที่พวกเขาเคยได้ยิน ลองออกจาก Comfort Zone มั่นใจและกล้าที่จะสื่อสารในสิ่งที่คุณรู้ว่าพวกเขาอาจไม่รู้หรือไม่ได้สังเกต วิธีนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาจดจำคุณได้แต่คุณก็จะได้รับความนับถือและเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นด้วย
4.ให้พวกเขาเป็นฝ่ายทำให้เราสนใจบ้าง
เพราะความเชื่อโดยทั่วไปของคนเราคือการที่เราควรจะเกรงกลัวผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเรา เพราะพวกเขามีสถานะที่สูงกว่าเรา ซึ่งการทำแบบนั้นถือเป็นการแสดงความเคารพนับถือที่ดีแต่นอกจากความเคารพนับถือและความสุภาพนอบน้อมอันดีแล้ว คุณอาจไม่ได้รับอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ที่ห่างเหินและไม่ได้รับความสนใจใดๆ
ลองนึกถึงสถานการณ์วันสัมภาษณ์พนักงานใหม่ ที่ทุกคนเตรียมตัวกันเป็นอย่างดีที่จะสร้างความประทับใจแรกกับผู้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะพยายามปรับน้ำเสียง ท่องสคริปต์หรือเก็งคำตอบที่ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด สุดท้ายแล้วพวกเขาจะพบว่าคุณไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ และไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย
เช่น หากคุณเจอคำถามว่า “ทำไมเราควรจ้างคุณสำหรับตำแหน่งนี้?” คำตอบของคนส่วนใหญ่นั้นจะเป็นในลักษณะที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเราสามารถทำงานได้ดีเพียงใด และพวกเขาจะรู้สึกคุ้มค่าและพอใจแค่ไหนหากจ้างเรามา แทนที่จะตอบแบบคนส่วนใหญ่ ถ้าคุณปรับมุมมองใหม่ว่าคุณเองก็ยังไม่แน่ใจเช่นกันว่าทำไมต้องจ้างคุณมาสำหรับตำแหน่งนี้ และกล้าที่จะตั้งคำถามกลับไปว่า “มีอะไรที่อยากแบ่งปันเกี่ยวกับงานนี้ก่อนบ้างไหม เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณางานของเรา”
วิธีนี้คือการสลับบทบาทจากการที่คุณต้องแสดงความน่าสนใจออกไป พวกเขาจะเป็นฝ่ายทำให้คุณสนใจแทน และด้วยวิธีนี้คุณก็มั่นใจได้ด้วยว่าคุณแสดงออกอย่างคนที่เท่าเทียมและน่าเคารพ พวกเขาจะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจหรืออยู่ต่ำกว่าพวกเขา และไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม คุณสามารถปรับมุมมองใหม่และเปลี่ยนวิธีการได้อย่างสร้างสรรค์และแตกต่าง สิ่งสำคัญกว่าการได้รับความเคารพจากคนอื่นแล้ว คุณก็จะเคารพตัวเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน
และทั้งหมดนี้คือ 4 วิธีทำให้เพื่อนร่วมงานที่มีอำนาจมากกว่าเคารพเรา สำหรับใครที่อยากพัฒนาตัวเองให้เก่ง ก้าวให้ทันโลกการทำงานยุคใหม่ ลองดูรายละเอียดหลักสูตรของ TUXSA ปริญญาโทโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ SkillLane ได้ที่นี่
อ้างอิง: hbr.org